ทรายแมว, มันสำปะหลัง, ไซยาไนด์ (Cassava, Cat Litter, Cyanide) มีอันตรายหรือไม่?

ทรายแมว, มันสำปะหลัง, ไซยาไนด์ (Cassava, Cat Litter, Cyanide) มีอันตรายหรือไม่?
มันสำปะหลัง (Cassava) เป็นพืชหัวที่มีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีความทนทานสูงในเขตภูมิอากาศเขตร้อน ได้รับความนิยมในการบริโภคโดยตรง นำไปนึงหรือต้ม หรือแปรรูป เช่น แป้งมันสำปะหลัง โดยการผ่านความร้อนที่ได้รับมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม กากเหลือจากการแปรรูปมันสำปะหลัง เช่น เปลือก ใบ ราก มีสารประกอบ ไซยาโนเจนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenic Glycosides) อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อมีการรับประทานสารปะปนเหล่านี้เข้าไป จะถูกย่อยแล้วสร้างสารไซยาไนด์ (Cyanide) ออกมา และ ไซยาไนด์ที่เป็นปัญหา คือ มันสำปะหลังดิบซึ่งมีสาร Amygdalin เมื่อรับประทานจะถูกน้ำย่อยของระบบทางเดินอาหารเปลี่ยนเป็นสารไซยาไนด์ได้ (ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี, 1995) ซึ่งส่วนใหญ่คือ ลินามาริน (Linamarin) และ ลอทออสตรัลลิน (Lotaustralin) ซึ่งสารเหล่านี้สามารถปลดปล่อย ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen Cyanide: HCN) ที่เป็นพิษได้เมื่อเกิดการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) บทความนี้ได้รวบรวมและอ้างอิงข้อมูลจากวิัจัยและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เชิงสถิติจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University), สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เพื่อแจกแจงองค์ประกอบของมันสำปะหลัง, กระบวนการลดพิษ (Detoxification), และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ ผลพลอยได้ของมันสำปะหลัง (Risks from By-Products) ที่ถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ 'ทรายแมวมันสำปะหลัง' 'ทรายมันเต้า' ซึ่งหากพบว่าผู้ผลิตไม่สามารถชี้แจงและให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น วัตถุดิบมีเปลือก ใบ ราก ของมันสำปะหลังปนหรือไม่? ปริมาณเท่าไหร่? หรือมีขั้นตอนผลิตที่ไม่ได้ใช้ความร้อนและเวลาที่เหมาะสม หรือแปรรูปที่ไม่ถูกต้อง ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงระดับไซยาไนด์ที่เป็นพิษตกค้าง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งในสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ผ่านการสูดดม (inhalation), การสัมผัส (contact), หรือการกลืนกิน (ingestion) ซึ่งผู้บริโภคสามารถขอข้อมูลที่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จากผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์เพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อบริโภค
.
1. บทนำ (Introduction)
มันสำปะหลัง (Cassava) เป็นอาหารหลักสำหรับประชากรโลกกว่า 800 ล้านคน แม้จะมีความสำคัญทางโภชนาการ แต่ส่วนราก, ใบ และเปลือกของมันสำปะหลังตามธรรมชาติมีสารประกอบไซยาโนเจนิก ไกลโคไซด์ ซึ่งเป็นสารที่สามารถปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงออกมาได้ (FAO, 2013) ความเข้มข้นของไซยาไนด์ (Cyanide Concentration) จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุ์มันสำปะหลัง, วิธีการแปรรูป, และสภาวะแวดล้อม แม้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกากเหลือจากการแปรรูปมันสำปะหลังโดยส่วนมากนำเสนอหรือโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ 'ธรรมชาติ (Natural)' หรือ 'ออร์แกนิค (Organic)' แต่การแปรรูปที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้มีปริมาณไซยาไนด์ตกค้างสูงกว่า เกณฑ์ที่ปลอดภัย (safe thresholds) (Cardoso et al., 2005) ประเด็นนี้ได้ขยายไปสู่การประยุกต์ใช้ที่ไม่ใช่อาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ทรายแมวมันสำปะหลัง ทรายมันเต้า (มันสำปะหลังผสมเต้าหู้) ซึ่งอาจมีการนำผลพลอยได้จากมันสำปะหลังมาใช้ใหม่โดยไม่มีระเบียบวิธีมาตรฐานในการลดพิษ (Standardized Detoxification Protocols) เช่น ใช้ส่วนของเปลือก ใบ ลำต้น หรือ ราก หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคควรยึดข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จากผู้ผลิตในการพิจารณาก่อนตัดสินใจบริโภค
.
2. วิธีการศึกษา (Methods)
บทความนี้ใช้ข้อมูลโดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีการทำศึกษาและวิจัยเชิงสถิติทางวิทยาศาสตร์ เช่น PubMed, ScienceDirect และ Google Scholar โดยให้ความสำคัญกับงานวิจัยที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, NIH และ FAO มีการวิเคราะห์จากวิจัยและการศึกษาทั้งหมด 45 งาน ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2567 โดยมุ่งเน้นที่การลดพิษของมันสำปะหลังอย่างถูกต้อง, จลนศาสตร์การย่อยสลายของสารประกอบไซยาโนเจนิก (Cyanogenic Compound Degradation Kinetics) และ เกณฑ์ความเป็นพิษ (Toxicity Thresholds) มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อประเมินประสิทธิผลของการลดปริมาณไซยาไนด์จากวิธีการแปรรูปต่าง ๆ ได้แก่ การต้ม, การหมัก, การแช่, การอบแห้ง, และการคั่ว
.
3. การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review)
สารไซยาโนเจนิกในมันสำปะหลัง ได้แก่ ลินามาริน (93%) และโลทาแซราลิน (7%) ซึ่งจะถูกไฮโดรไลซ์โดยเอนไซม์ลินามาเรส (linamarase) เมื่อเซลล์ถูกทำลาย (FAO, 2001) รากสดของมันสำปะหลังสามารถมี HCN ระหว่าง 15-400 mg/kg น้ำหนักสด ขึ้นกับพันธุ์ (Montagnac et al., 2009) องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าค่า HCN ในอาหารไม่ควรเกิน 10 mg/kg (WHO, 2012)
การปรุงสุกและลดสารพิษ:
การต้มรากมันสำปะหลัง 25-30 นาที สามารถลดสารไซยาไนด์ได้ 85-95%
การคั่วราก 15-20 นาที ลดสารได้ 80-90%
การหมัก 72 ชั่วโมง ลดสารได้ถึง 98%
การตากแดดเพียงอย่างเดียว ลดได้เพียง 30-40% (Cardoso et al., 2005; Ernesto et al., 2000)
.
วิธีการแปรรูป (Processing Method)
.
4. กากเหลือจากการแปรรูปมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ทรายแมว (Cassava By-products and Cat Litter)
.
ทรายแมวมันสำปะหลัง ทรายมันเต้า ที่น้องแมวใช้อยู่ มีสารไซยาโนเจนิกปนเปื้อนในระดับที่ปลอดภัยหรือไม่??
กากเหลือจากการแปรรูป มันสำปะหลัง เช่น เปลือก (Peel), ใบ (Leaves), ราก (Root) และเนื้อเยื่อเส้นใย (Fibrous Pulp) ถูกนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทรายแมวที่มุ่งเน้นผลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradability) และมีต้นทุนต่ำมาก หากผู้ผลิตมุ่งเน้นแต่ยอดขายเลือกใช้ความร้อนต่ำในการผลิตเพื่อเน้นให้ได้ปริมาณผลิตภัณฑ์ออกมาสจำหน่ายในปริมาณเยอะ (High Yeild) แต่สารไซยาโนเจนิกอาจยังคงอยู่ในปริมาณอันตรายหากไม่ได้ผ่านด้วยความร้อนหรือหมักในเวลาและอุณหภูมิที่ถูกต้อง อาจก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพน้องแมวและเจ้าของตามลำดับ (NIH, 2021) การสูดดม การสัมผัสทางผิวหนัง หรือการกินโดยไม่ตั้งใจอาจเกิดความเป็นพิษเรื้อรังต่อสัตว์และมนุษย์ การนำเสนอขายหรือโฆษณาว่า ออร์แกนิค (Organic) แค่มิติเดียว อาจไม่หมายความว่าผลิตปลอดภัยหากมีการสัมผัส สูดดม ในระยะสั้นและยาว การตรวจวัดไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) ตั้งแต่ก่อนและหลังผลิต จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ผลิตต้องทำการส่งตรวจสอบกับห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) รวบรวมข้อมูลการผลิตเพื่อพร้อมชี้แจงให้ผู้บริโภคทราบ หากมีการร้องข้อมูลเพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ
.
การตลาดที่สื่อสารให้ผู้บริโภคทราบโดยมีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นเฉพาะการขาย อาจทำให้ผู้บริโภคมีภาพจำมิติเดียวว่า ผลิตภัณฑ์ทรายแมวจากมันสำปะหลังที่วัตถุดิบเป็น 'ออร์แกนิค (Organic)' หรือ 'ธรรมชาติ (Natural)' นั้น ปลอดภัยเพียงพอ โดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคทราบเชิงองค์รวมว่าวัตถุดิบที่ใช้มีกระบวนการผลิตมีวิธีการกำจัดสารตกค้างไซยาไนด์ (Cyanide Residues) หรือไม่?
.
ถึงแม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบตรวจหรือทดลองมาตรฐานการผลิตว่ามีสารปนเปื้อนสารไซยาไนด์จากทรายแมวมันสำปะหลังโดยตรง ผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์ควรคำนึงความรับผิดชอบในการสื่อสารเชิงความรู้องค์รวมทั้งระบบ (System Thinking) ให้ผู้บริโภคทราบอย่างชัดเจนและจริงใจ ซึ่งจะส่งผลสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์สินค้าว่ามีมากน้อยแค่ไหน
.
ผู้บริโภคสามารถวิเคราะห์เหตุผล ข้อเท็จจริง พิจารณาความเป็นไปได้ของอันตรายที่อาจจะได้รับจากผลิตภัณฑ์ที่มาจากผลพลอยได้จากมันสำปะหลัง เช่น ผลิตภัณฑ์นั้นๆผ่านการกระบวนการผลิตความร้อนโดยใช้เวลาที่ได้รับมาตรฐานหรือไม่?? มีผลปฏิบัติการทดสอบการรับรองเชิงวิจัยก่อนนำไปผลิตและจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงหรือไม่?? มีมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัยที่เข้มงวดและการติดฉลากแสดงค่าอุณหภูมิความร้อนและเวลาในการผลิตหรือไม่?? มีฉลากภาษาไทยที่บรรจุภัณฑ์ตามพรบ.คุ้มครองผู้บริโภคพ.ศ. 2522 ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือไม่?? ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์สินค้ายกระดับมาตรฐานความรับผิดชอบและความปลอยภัยของสินค้าในอนาคตอันใกล้
.
5. สรุป (Conclusion)
กากเหลือจากการแปรรูปมันสำปะหลัง เช่น เปลือก ใบ ราก จำเป็นต้องได้รับการแปรรูปอย่างถูกต้องเพื่อกำจัดไซยาไนด์และรับรองความปลอดภัยสำหรับการประยุกต์ใช้ทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับบริโภค (Food) และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (Non-Food) แต่มีการสัมผัสทางผิวหนัง สูดดม หรือกลืน เช่น ทรายแมวมันสำปะหลัง ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ทรายแมวที่ทำจากมันสำปะหลังนั้น แม้จะมุ่งเน้นใช้วัตถุดิบธรรมชาติเพื่อนำเสนอความยั่งยืนเชิงสภาพแวดล้อม เป็นแนวทางที่ดีแต่ก็อาจมีความเสี่ยงทางพิษวิทยา (Toxicological Risk) ซึ่งอาจมาจากสารตกค้างที่ไม่ได้บำบัดหรือผ่านการแปรรูปที่ไม่ถูกต้อง ผู้ผลิตและผู้บริโภคควรให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการลดพิษที่ได้รับการรับรอง (Certified Detoxification Processes) และการติดฉลากที่บรรจุภัณฑ์แจกแจงอุณหภูมิและเวลาที่ใช้ผลิต มีข้อมูลเชิงประจักษ์อันปราศจากความเห็นโน้มเอียง เช่น ผลทดสอบจากห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เปรียบเทียบค่ามาตรฐานสารไซยาไนด์ว่าอยู่ในระดับปลอดภัยหรือไม่? เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงว่าการผลิตสินค้าล็อตผลิตนั้นๆอย่างชัดเจนว่าสินค้าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยในการบริโภค โดยผู้บริโภคสามารถขอจากผู้จำหน่ายได้เพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ
.
บรรณานุกรม (References)
Cardoso, A. P., Mirione, E., Ernesto, M., Massaza, F., Cliff, J., Haque, M. R., & Bradbury, J. H. (2005). Processing of cassava roots to remove cyanogens. Journal of Food Composition and Analysis, 18(5), 451460.
.
Ernesto, M., Cardoso, A. P., Nicala, D., Mirione, E., Massaza, F., Cliff, J., & Bradbury, J. H. (2000). Persistent konzo and cyanide toxicity from cassava in northern Mozambique.1 Acta Tropica, 82(3), 357362.
.
FAO (2013). Save and Grow: Cassava A Guide to Sustainable Production Intensification. Food and Agriculture Organization of the United Nations.
.
Montagnac, J. A., Davis, C. R., & Tanumihardjo, S. A. (2009).
.
Nutritional value of cassava for use as a staple food and recent advances for improvement. Comprehensive Reviews in Food Science and Food Safety, 8(3), 181194.
.
National Institutes of Health (2021). Cyanide Toxicity and Dietary Sources. NIH Toxicology Data Network.
.
World Health Organization (2012). Cyanogenic glycosides in cassava and bamboo shoots: Safety evaluation of certain food additives and contaminants. WHO Food Additives Series 65.
.
ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี (1995) Bulletin (July - August 1995 Vol.3 No.2)
ข้อความสงวนลิขสิทธิ์
เนื้อหาและบทความที่ปรากฏบนเว็บไซต์นี้ ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ และสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ของภูมิภาคที่บริษัทฯ จดทะเบียนอยู่
ท่านอาจดาวน์โหลด หรือพิมพ์ส่วนใดส่วนหนึ่งของเว็บไซต์นี้ได้ เพื่อการใช้งานส่วนบุคคล โดยท่านตกลงที่จะเก็บบรรดาข้อความซึ่งเกี่ยวกับการแสดงถึงลิขสิทธิ์และสิทธิในความเป็นเจ้าของอื่นใดที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้ไว้ด้วย ท่านจะไม่ทำซ้ำข้อมูลใดๆ จากเว็บไซต์นี้ (ทั้งหมดหรือบางส่วน) ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข หรือส่งต่อ หรือใช้เพื่อการพาณิชย์ โดยไม่แจ้งบริษัทฯ และได้รับอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
